เปิดตำนานมังกรแห่งวาลีเรีย จากซีรีส์ House of the Dragon

adxpknungmai2022
26 August 2022

เนื้อเรื่องของ A Song of Ice and Fire เกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ทาแกเรียน เรียกว่าแค่เปิดเรื่องมาในนิยายเล่มแรกอย่าง Game of thrones มหาศึกชิงบัลลังก์ คนในราชวงศ์ก็เกือบจะสาบสูญไปจากโลกอย่างสิ้นเชิงแล้ว เหลือราชนิกุลแค่ 2 คนที่ต้องระเห็จข้ามทะเลไปอยู่อีกทวีปหนึ่ง และที่สาบสูญไม่แพ้พวกทาแกเรียนคือมังกรของพวกเขา แถมมังกรอาจเรียกได้ว่าแทบจะเป็นตำนานเล่าขานกันไปแล้ว เพราะพวกมันสูญพันธุ์จากเวสเตอร์รอสแล้วนับร้อยๆปี เหลือทิ้งไว้แค่โครงกระดูกและไข่มังกรที่กลายสภาพเป็นหิน จนกระทั่งปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นเมื่อไข่มังกรของเดเนริส Denerys ฟักออกมาท่ามกลางโศกนาฏกรรม และได้กลายเป็นอาวุธที่แม่มังกรใช้ทวงบัลลังก์ของเธอคืนมา ซึ่งใครที่ดู Game of thrones ซีซั่นท้ายๆ ก็น่าจะได้เห็นแล้วว่ามังกรแค่สามตัว มันสร้างความบรรลัยได้ขนาดไหน แล้วลองนึกภาพมังกรเป็นสิบๆ ตัวที่บินอยู่บนท้องฟ้าของเวสเตอร์รอส พวกมันคือขุมอำนาจที่พวกทาแกเรียนครองบัลลังก์เหล็กแห่งเวสเตอร์รอสมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่พวกเขาจะสูญเสียอำนาจนั้นไปในศึกนองเลือดภายในตระกูล นั่นก็คือเรื่องราวที่ซีรีส์ House of the Dragon จะบอกเล่า ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับเหล่ามังกรจากโลกแห่งมหาศึกชิงบัลลังก์ ของ George R. R. Martin (จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน) ย้อนกลับไปตั้งแตาสมัยของชาววาลีเรียที่สร้างจักรวรรดิที่ทรงอำนาจที่สุด ด้วยพลังแห่งไฟและโลหิตของสัตว์ร้ายที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก

ลักษณะของมังกรในจักรวาล Game of Thrones

มังกรใน A Song of Ice and Fire หรือจักรวาล Game of thrones คือสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ที่บินได้ พบได้ตามทวีป Westeros และ Essos พวกมันมีคอยาว มีเขาบนหัว มีขากรรไกรที่ทรงพลัง เขี้ยวคมยาวเหมือนกับมีดปลายโค้ง พร้อมกงเล็บและปีกที่เป็นหนังเหมือนปีกค้างคาว เหมือนมังกรตะวันตกแบบมาตรฐาน ต่างกันแค่พวกมันมีสองขา สองปีก บนปีกมีขาหน้าที่ทำหน้าที่เป็นมืออีกด้วย หรือที่ตำนานมังกรชาวตะวันตกเรียกว่า ไวเวิร์น (ญาติอีกชนิดของมังกร) สาเหตุที่มังกรในที่นี้มีสองขากับสองปีกก็เพราะ จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน อยากจะให้มันดูเป็นธรรมชาติมากกว่า อย่างพวกนก ค้างคาว ต่างก็มีสองปีก สองขากันหมด จึงได้มาเป็นต้นแบบของมังกรใน A Song of Ice and Fire ทั้งในนิยายและซีรีส์ Game of thrones

มังกรในจักรวาลแฟนตาซีอื่นๆ มักจะมีสีที่คล้ายคลีงกัน หรือไม่ก็มีสีที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่มังกรใน Game of thrones มีเฉดสีไม่ซ้ำกันเลยสักตัว เกล็ดของมันนั้นมีตั้งแต่สีดำสนิท สีแดง สีน้ำเงินคราม ไปจนถึงสีทองอร่าม นอกจากเกล็ดจะมีหลายสีแล้ว เปลวไฟที่พวกมันพ่นออกมาก็มีหลายสี และก็มักจะตรงกับสีของเกล็ดของเจ้ามังกรตัวนั้น ยิ่งมังกรมีอายุมากเปลวไฟก็จะยิ่งร้อนแรงมากขึ้น มังกรเด็กที่เพิ่งฟักออกมากจากไข่สามารถทำให้กองฟางลุกติดไฟได้ ในขณะที่มังกรยักษ์ที่อายุมากสามารถหลอมละลายได้แม้กระทั่งเหล็กกล้าหรือก้อนหิน ว่ากันว่ามังกรเปรียบเสมือนเปลวไฟที่มีเลือดเนื้อ แม้แต่เลือดของพวกมันยังเดือดระอุแผ่รังสีความร้อนออกมานอกตัว ยืนในสภาพอากาศหนาวถึงกับควันขึ้น แถมเลือดไหลลงน้ำน้ำเดือดปุดๆ นอกจากเขี้ยวและกงเล็บแล้วมังกรจะใช้ไฟเป็นอาวุธหลักในการเผาผลาญศัตรู แต่ที่พิเศษคือพวกมันไม่กินเนื้อดิบ เพราะพวกมันรู้จักใช้เปลวไฟในการปรุงอาหาร บางตัวชอบกินเนื้อหรือไข่ของพวกเดียวกันอีกต่างหาก

ทฤษฎีกำเนิดมังกรใน Game of Thrones

ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเหล่ามังกรใน Game of thrones เป็นปริศนาทั้งในหมู่คนอ่านและเหล่าเมสเตอร์ในเรื่อง มีทั้งที่เป็นตำนานโบราณและเป็นทฤษฎีที่มีหลักฐานรองรับ ในนครคาร์ธ Qarth ทางตะวันออกของทวีปเอสสอส เชื่อกันว่ามังกรนั้นมาจากดวงจันทร์ดวงที่สองบนท้องฟ้าที่ถูกแผดเผาโดยแสงอาทิตย์จนกะเทาะออกมาเหมือนเปลือกไข่ แล้วมังกรนับล้านๆ ตัวก็กรูกันออกมา ส่วนชาววาลีเรียนั้นเคลมว่าพวกมังกรนั้นถือกำเนิดขึ้นในเทือกเขา 14 เปลวไฟ แนวภูเขาที่ก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนบนคาบสมุทรวาลีเรีย จากนั้นชาววาลีเรียที่เริ่มต้นจากการเป็นคนเลี้ยงแกะก็ค้นพบไข่มังกรและเรียนรู้วิธีควบคุมพวกมัน

อีกตำนานหนึ่งก็ว่ามังกรถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในดินแดนแห่งเงา ไกลออกไปทางตะวันออกเลยนครแห่งความมืดไปอีก ว่ากันว่าชนเผ่าไร้นามชนเผ่าหนึ่งได้กำราบมังกรเหล่านี้ได้เป็นพวกแรก จากนั้นก็นำพวกมังกรมาที่วาลีเรีย สอนชาววาลีเรียให้รู้จักกับศิลปะในการฝึกมังกร ก่อนที่ชนไร้นามแห่งนี้จะสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ก็ยังมีทฤษฎีของ Septon Barth หัตถ์ของกษัตริย์ Jaehaerys I ซึ่งเชื่อว่าชาววาลีเรียสร้างมังกรขึ้นโดยใช้เวทย์มนต์เลือดผสมข้ามสายพันธุ์สัตว์หลายชนิด ชนิดแรกคือพวกไวเวิร์น (Wyvern) ที่กล่าวไปในช่วงต้น พวกมันคืออสูรร้ายที่ครองทวีป Sothoryos ที่อยู่ทางทิศใต้ หน้าตาพวกมันเหมือนกับมังกร มีปีกหนังขนาดใหญ่ มีจะงอยปากอันแหลมคม และมีความหิวโหยอันไร้ที่สิ้นสุด แต่ตัวเล็กกว่ามังกรหลายเท่าและพ่นไฟไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็เป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่แม้แต่มังกรก็ยังเทียบไม่ได้ และอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทวีป Sothoryos ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย

ส่วนสัตว์ชนิดที่สองที่เชื่อว่าถูกนำมาสร้างเป็นมังกรก็คือพวกไฟร์เวิร์ม เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่พ่นไฟได้แต่ไม่มีปีก สามารถขุดทะลุพื้นดินและชั้นหินเพื่อสร้างรังในแถบภูเขาไฟอันร้อนระอุของ 14 เปลวเพลิง ในช่วงก่อนที่พวกมังกรจะมาอยู่ที่นี่ ลูกของมันตอนเกิดใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าแขนของเด็กนิดหน่อย แต่ยิ่งอายุมากขึ้นพวกมันก็จะยิ่งตัวโตขึ้นจนอาจจะมีขนาดมหึมา แต่ก็ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ว่ามังกรพวกนี้อาศัยอยู่ทุกพื้นที่บนโลกมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ทั้งใน Westeros และ Essos ก่อนที่จะมีวาลีเรีย หรือพวกทาแกเรียน เห็นได้จากโครงกระดูกมังกรโบราณที่พบได้ทั่วไป ไล่ตั้งแต่บนเกาะ IB ทางตอนเหนือสุดไปจนถึงป่าดิบดงดำของทวีป Sothoryos ทางใต้ กระดูกมังกรมีสีดำเงาเหมือนกับนิล เพราะมีธาตุเหล็กอยู่อย่างเข้มข้น มันก็เลยแข็งแกร่งเหมือนกับเหล็กกล้าแต่เบาและยืดหยุ่นกว่า กลายมาเป็นของล้ำค่าที่ใช้ทำเข็มกลัด ด้ามมีดที่ทำจากเหล็กวาลีเรีย หรือแม้แต่ธนูที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวดอดราคิ

นอกจากโครงกระดูกเหล่านี้ ในดินแดนตะวันตกและตะวันออกก็ยังมีตำนานเล่าขานกับอสูรยักษ์ชนิดอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมังกร อย่างแรกก็คือมังกรทะเลแห่งตะวันตกที่ทิ้งโครงกระดูกไว้ตามชายฝั่งทะเล เชื่อกันว่าพวกมันใหญ่พอที่จะกินวาฬและหมึกยักษ์เป็นอาหารว่างได้ แต่การมีอยู่ของพวกมันก็ไม่มีอะไรมายืนยัน ถ้ามันมีอยู่จริงก็คงอยู่ใต้ทะเลลึกเพราะไม่มีใครเคยเห็นพวกมันมาตลอดหลายพันปี

แต่มังกรอีกชนิดหนึ่งที่ลึกลับที่สุดก็คือมังกรน้ำแข็งแห่งทะเลหนาวสั่นทางเหนือ ที่ตัวใหญ่กว่ามังกรธรรมดาหลายเท่า และแทนที่จะพ่นไฟเหมือนมังกรทั่วไป พวกมันจะพ่นอากาศอันเย็นยะเยือกทำให้คนกลายเนน้ำแข็งได้ในเสี้ยววินาที แถมทั้งตัวของมันยังประกอบด้วยน้ำแข็งพร้อมนัยตาคริสตัลสีน้ำเงินและปีกที่ใสจนเห็นดาวบนท้องฟ้าเวลาที่มันบินผ่าน แต่มังกรน้ำแข็งลึกลับกว่ามังกรทะเลเสียอีก ตลอดเวลาหลายร้อยปีแม้จะมีกะลาสีมากมายที่เล่าว่าเคยเห็นมังกรชนิดนี้ แต่เนื่องจากมังกรน้ำแข็งจะละลายกลายเป็นน้ำเมื่อพวกมันตายลง ก็เลยไม่มีหลักฐานหลงเหลือถึงการมีอยู่ของพวกมัน

ไม่ว่าจริงๆ แล้วมังกรถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือยังมีมังกรสายพันธุ์อื่นอยู่ในโลกอีกหรือเปล่า ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือชาววาลีเรียคือชนชาติแรกและชนชาติเดียวที่สามารถกำราบและใช้ประโยชน์ที่ไม่เคยที่ใครทำได้มาก่อน หลังจากควบคุมมังกรกลุ่มแรกได้แล้ว พวกเขาก็ทำการเพาะพันธุ์พวกมันขึ้นมา ในนิยายผู้คนใน Westeros ปัจจุบันไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้ววงจรการสืบพันธุ์ของมังกรมันทำงานกันยังไง แม้แต่คนที่คลุกคลีอยู่กับมังกรอย่างพวกทาแกเรียนก็มีไอเดียคร่าวๆ ว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ แต่มังกรในเรื่องนี้ก็เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานในโลกจริงๆ ที่ไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้เห็นได้ชัดเจน แถมหน้าตาพวกมันก็คล้ายกันก็เลยไม่มีใครรู้แน่ว่าตัวไหนเป็นตัวเมียหรือตัวผู้กันแน่ เขาก็เลยอนุมานกันแบบง่ายๆ ว่าถ้ามังกรตัวไหนเคยออกไข่มันก็น่าจะเป็นตัวเมีย ซึ่งอาจจะไม่จริงเสมอไปเพราะตัวเมียบางตัวอาจไม่ออกไข่ก็ได้ แถมเมสเตอร์และนักวิชาการบางคนยังเชื่อว่าจริงๆ แล้วมังกรนั้นไม่มีเพศที่ตายตัว แต่เปลี่ยนเพศไปได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลา ไร้รูปที่แน่นอนเหมือนกับเปลวไฟ บางทีคำตอบของคำถามเหล่านี้ชาววาลีเรียในยุคโบราณอาจจะรู้ก็เป็นได้

ไข่ของมังกรมีขนาดใหญ่และปกคลุมด้วยเกล็ดเป็นสีสันต่างๆ ซึ่งดูจะสอดคล้องกับเกล็ดของมังกรที่อยู่ในไข่ แต่ไข่ของพวกมันก็ไม่มีเวลาฟักที่แน่นอนเหมือนกับสัตว์ทั่วไป บางใบก็ฟักหลังจากวางไข่ไม่นาน แต่บางใบก็ไม่ฟักเลยเป็นร้อยๆ ปี จนกระทั่งกลายสภาพเป็นหิน แต่ถึงกระนั้นมันก็สามารถฟักได้ภายใต้สถานการณ์พิเศษที่มักจะมีเวทย์มนต์มาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเวทย์อาคมโลหิตและการบูชายัญ ส่วนมังกรเด็กที่ฟังออกมาใหม่ๆ ตัวมันจะมีขนาดเท่าแมวแต่พวกมันจะเติบโตอย่างรวดเร็วถ้ามีอาหารการกินที่สมบูรณ์และมีพื้นที่ให้บินเล่น และเมื่อโตพวกมันจะมีขนาดปียาว 6 เมตรภายในเวลาแค่ 1 ปีครึ่ง และเช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดอย่างพวกจระเข้ มังกรนั้นจะตัวโตขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุขัยของมัน เรียกได้ว่าไม่ตายไม่หยุดโต ซึ่งอายุขัยพวกมันยาวนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ที่แน่คือยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า อย่างบาเลเรียนซึ่งเป็นมังกรทาแกเรียนที่ใหญ่โตและมีอายุประมาณ 200 ปี มากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็ทิ้งตัวลงนอนหลับและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย แต่เนื่องจากมันเป็นเคสเดียวที่มีการบันทึกไว้จึงสรุปไม่ได้ว่ามังกรทั่วไปมีอายุขัยประมาณนี้หรือเปล่า ไม่แน่ในสมัยของชาววาลีเรียอาจจะมีมังกรที่แก่และใหญ่กว่าบาเลเรียนอยู่ก็เป็นได้ เกร็ดของมังกรที่โตเต็มวัยอาจแข็งยิ่งกว่าเหล็ก พวกมันสามารถบินฝ่าห่าธนูหรือคมหอกได้โดยแทบไม่เป็นอันตรายนอกเสียจากจะโดนเด็ดปีกหรือยิงเข้าจุดสำคัญจุดเดียวนั่นก็คือ ลูกตา ซึ่งต้องใช้อาวุธที่ยิงเข้าไปในดวงตาของมัน และการจะฝึกให้มันขี่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติมังกรเป็นสัตว์ที่ฉลาดและเรียนรู้เร็วแต่ค่อนข้าวเอาแต่ใจและฉุนเฉียวง่าย พวกมันจะผูกสัมพันธ์กับคนขี่เพียงแค่คนเดียว และเชื่อกันว่าขั้นตอนการผูกสัมพันธ์นี้จำเป็นต้องใช้เวทย์มนต์และสายเลือกของชาววาลีเรีย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตระกูลชนชั้นสูงในวาลีเรียมักจะให้พี่น้องแต่งงานกันเอง เพื่อรักษาสายเลือกให้บริสุทธิ์มากพอที่จะควบคุมมังกรได้ อย่างไรก็ตามการมีสายเลืกวาลีเรียนั้นก็ไม่การันตีว่าจะสามารถผูกสัมพันธ์กับมังกรได้สำเร็จ อย่างในศึก Dance of Dragon ก็มีการเปิดโอกาสให้บุตรนอกสมรสที่มีเชื้อสายของตระกูลทาแกเรียนหรือวาลีเรียน ให้ลองผู้สัมพันธ์กับมังกรที่ไม่มีคนขี่ ปรากฏว่ามีคนทำได้แค่ไม่กี่คน ที่เหลือก็กลายเป็นอาหารให้กับมังกรไปตามระเบียบ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้มีเชื้อสายวาลีเรียนด้วยซ้ำ แต่สามารถขี่มังกรตัวหนึ่งได้โดยการเอาแกะอาหารโปรดของมันไปให้กินบ่อยๆ จนมันคุ้นเคยและยอมให้ขึ้นขี่ในที่สุด แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดเมื่อผูกสัมพันธ์กับมังกรได้แล้วมันจะเชื่อฟังและรับคำสั่งเสียงของนายมันเป็นภาษาวาลีเรีย ที่สำคัญต้องติดอานให้มังกรด้วย มังกรจะปกป้องคนขี่ของมันอย่างสุดชีวิต และบางตัวก็สัมผัสได้ว่านายของพวกมันกำลังจะตายหรือตายไปแล้ว ซึ่งเป็นความสัมพันธืที่ซับซ้อนมากจนกลายเป็นปริศนามาหลายร้อยปี แต่ถึงพวกมันจะเชื่องและเชื่อฟังเจ้าของแต่พวกมันก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่จะมาเล่นด้วยได้ มังกรบางตัวชอบทำอะไรตามใจและคาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะตัวที่แก่ คนขี่จึงต้องฝึกพวกมันไม่ให้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว และตราบใดที่เจ้าของคนเดิมยังมีชีวิตอยู่มันจะไม่ยอมให้คนอื่นขึ้นขี่หลังพวกมันโดยเด็ดขาด ยกเว้นเจ้านายมันจะขี่ไปด้วย แต่ถ้าเจ้าของเก่าตายไปมันอาจจะผูกสัมพันธ์กับเจ้าของคนใหม่ได้และกลับกันหากมังกรตายไปคนขี่ก็สามารถผูกสัมพันธ์กับมังกรตัวใหม่ได้เช่นกัน เท่าที่มีการบันทึกไว้ไม่มีชาววาลีเรียคนไหนที่ขี่มังกรได้หลายตัว ยกเว้นเดเนอริสที่เลี้ยงมังกรทีละ 3 ตัว

มังกรคือไฟที่มีเลือดเนื้อและในจักรวาลนี้ ไฟมีค่าเท่ากับอำนาจ ชาววาลีเรียในยุคโบราณได้เปลี่ยนมังกรให้กลายเป็นอาวุธทำลายล้างที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารและพลังทำลายทั้งกองทัพได้ในเวลาไม่นาน ไม่มีกำแพงใดจะสะกัดกั้นพวกมันบินข้ามไปได้และไม่มีอาวุธใดที่สามารถโค่นพวกมันได้ ทำให้อำนาจของชาววาลีเรียแผ่ขยายไปค่อนทวีป Essos กลายเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและไฟและน้ำแข็ง เป็นศูนย์รวมของวิทยาการที่ล้ำหน้าและเวทย์มนต์ที่เร้นลับ แต่เมื่อยิ่งใหญ่ย่อมมีคนที่คิดต่อต้าน มีขุมกำลังมากมายที่ตั้งใจท้าทายอำนาจของชาววาลีเรีย กลุ่มแรกคือจักวรรดิโบราณแห่ง Ghis ที่ถูกสร้างขึ้นบนหลังของทาสจำนวนนับไม่ถ้วนและถูกปกป้องโดยกองทัพนักรบ Lockstep Legion ที่ใช้หอกและโล่ในการบดขยี้ข้าศึก แต่หอกและโล่จะมีความหมายอะไรเมื่อเจอไฟจากท้องฟ้า หลังจากสงครามอันยาวนาน ในที่สุด Ghis ก็ถึงคราวพินาศ เมืองหลวงถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก แต่ถึงหัวใจของจักรวรรดิจะถูกทำลาย แต่วัฒนธรรมหลักของชาว Ghis ก็ยังคงอยู่และตกทอดไปยังชาววาลีเรียนั่นคือการค้าทาส ทาสได้กลายเป็นเส้นเลือดใหม่ของชาววาลีเรียที่ต้องการแรงงานไปทำงานในเหมืองใต้ขุนเขา 14 เปลวเพลิง และยิ่งจักรวรรดิขยายใหญ่ขึ้นความต้องการทาสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ต่อไปจะเป็นคราวซวยของขาว Rhoynar อารยธรรมโบราณอีกแห่งที่รุ่งเรืองอยู่ตามชายฝั่งแม่น้ำ Rhoyne ที่ไหลผ่านทวีป Essos วาลีเรียส่งกองทัพและมังกร 3 ตัว เข้าทำสงครามกับชาว Rhoynar แต่ชาวแม่น้ำกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เหยื่อที่จะบดขยี้ได้ง่ายๆ แม้จะไม่มีมังกรหรือเทคโนโลยีที่สูงล้ำเป็นพิเศษ แต่ชาว Rhoynar ก็มีเวทย์มนต์ธาตุน้ำที่ทรงพลัง นักเวทย์น้ำสร้างพายุน้ำวนขึ้นไปกวาดมังกรตกลงมาจากท้องฟ้า เมื่อได้ชัยชนะพวกเขาก็ประกาศอย่างมั่นใจว่า ตราบใดที่พวกเขาได้รับการปกป้องจากพลังของพระแม่ Rhoyne พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกมังกร แต่เมื่อกองทัพของชาว Rhoynar ยกทัพไปหวังจะโจมตีเมืองของชาววาลีเรีย จักรวรรดิก็ได้ส่งมังกรมามากถึง 300 ตัว ใครที่ติดตาม Game of thrones คงจะได้เห็นผลงานความพินาศจากโดรกอนแค่ตัวเดียวมาแล้ว ทีนี้ลองนึกดูว่ามังกร 300 ตัว พ่นไฟพร้อมกันมันจะบรรลัยได้แค่ไหน ส่งผลให้ทัพชาว Rhoynar ถูกเผาเรียบไม่มีเหลือ ส่วนพวกที่พยายามหนีลงแม่น้ำก็โดนน้ำเดือดต้มจนกลายเป็นสุกี้ เมืองตามริมฝั่งแม่น้ำ Rhoyne ถูกไฟเผาทำลายจนเหลือแต่ซากไปทีละแห่ง จนชาว Rhoynar บางส่วนต้องอพยพหนีไปยัง Westeros ปล่อยให้จักรวรรดิวาลีเรียขยายอำนาจต่อไปจนดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด

สิ้นสุดยุคมังกรแห่งวาลีเรีย

แต่แล้วมันก็ถึงคราวสิ้นสุด จุดจบของวาลีเรียเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดในหายนะที่โลกไม่เคยพบเจอ ไม่มีใครรู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นมากนัก มีเพียงตำนานเล่าขานว่าจักรวรรดิที่เป็นบ้านของมังกรและบ้านของนักเวทย์ชั้นสูงนับพันได้ถูกทำลายลงในไม่กี่ชั่วโมง เมื่อภูเขาไฟทุกลูกในรัศมี 800 กิโลเมตร ปริแยกออกส่งเถ้าควัน หินหลอมเหลวและเปลวไฟพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลวไฟที่ร้อนระอุจนแม้แต่มังกรก็ถูกเผาตายกลางอากาศ หมู่เมฆกลายเป็นสีแดงฉาน ขณะที่หินภูเขาไฟอันคนกริบร่วงลงมาราวกับห่าฝน แผ่นดินแยกออกเป็นเหวลึกกลืนกินเวียงวังและวิหารและเมืองทั้งเมืองให้ตกลงสู่ใต้พิภพ น้ำในทะเลสาบร้อนระอุและเปลี่ยนเป็นน้ำกรด ก่อนที่แผ่นดินทางเหนือจะถล่มลง เปิดทางให้น้ำทะเลที่เดือดผล่านไหลบ่าเข้ามากลืนกินคาบสมุทรวาลีเรีย ชาววาลีเรียและเกือบทุกสิ่งที่ดคยเป็นอารยธรรมของชาวแห่งมังกรให้สูญหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหลือรอดมาได้คือตระกูลชั้นรองของขุนนางวาลีเรียหนึ่งตระกูลที่ไม่ได้สำคัญอะไรนัก 12 ปี ก่อนที่วาลีเรียจะล่มสลาย เอนาร์ด ทาแกเรียน ได้ขายที่ดินและตำแหน่งในวาลีเรียแล้วย้ายครอบครัว ข้าทาสบริวาร ญาติพี่น้องและมังกรทั้ง 5 ของพวกเขา ข้ามทะเลแคบไปทางตะวันตกสู่ทวีป Westeros ว่ากันว่าที่ย้ายไปก็เพราะวันหนึ่งลูกสาวของเอนาอย่าง Daenys The Dreamer ฝันเห็นนิมิตเกี่ยวกับความพินาศของวาลีเรียล่วงหน้า ทำให้ทาแกเรียนบางส่วนรอดพ้นจากไฟนรกที่กลืนกินวาลีเรีย และสำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขากลายเป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่ยังมีมังกรในครอบครอง หลังจากไปตั้งรกรากใหม่ที่ป้อมดราก้อนสโตน ตระกูลทาแกเรียนก็ปกครองอำนาจในทะเลแคบแต่ถึงแม้จะมีสุดยอดอาวุธในมือ แต่เอนาก็ไม่เคยคิดสนใจในดินแดนแห่ง Westeros สายตาของเขาเพ่งมองไปยังทางตะวันออกที่จากมา ซึ่งตอนนั้นตกอยู่ในยุคสมัยแห่งการนองเลือดท่ามกลางสุญญากาศแห่งการเมืองที่เกิดจากการล่มสลายของวาลีเรีย จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน จนถึงยุคของเอกอน ทาแกเรียน มังกรทั้ง 5 ก็ได้ล้มตายไป 4 ตัว เหลือเพียงแค่ตัวเดียวคือบาเลเรียนกับมังกรอายุน้อยกว่า 2 ตัวที่ฟักออกจากไข่ที่ดราก้อนสโตน แต่มังกรแค่ 3 ตัวก็เพียงพอแล้วที่จะเปิดศึกกับ Westeros เพื่อรวมดินแดน 7 อาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อตั้งราชวงศ์ทาแกเรียนที่ปกครองอำนาจนานนับร้อยปีด้วยไฟของมังกรและเลือดของศัตรูทีคิดต่อต้าน แต่แล้วไฟนั้นก็ถูกนำมาใช้กับสายเลือกทาแกเรียนด้วยกัน ใน Dance of the Dragons สงครามกลางเมืองแห่ง 7 อาณาจักร ที่มังกรละเลงเลือดกับมังกรบนท้องฟ้าเหมือนที่เคยเป็นมาในวาลีเรียเมื่อเก่าก่อน